XMPP (Extensible Messaging and Presence Protocol) เป็นโปรโตคอลการสื่อสารที่ใช้ XML (eXtensible Markup Language) โดยส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที ข้อมูลการยืนยันตัวตน การจัดการรายชื่อผู้ติดต่อ และการทำงานร่วมกันทางออนไลน์ทั่วไป
ได้รับการพัฒนาครั้งแรกโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส Jabber ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 XMPP ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการโดย IETF (Internet Engineering Task Force) และปัจจุบันมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มการส่งข้อความและการสื่อสารต่างๆ
จุดแข็งที่สำคัญของ XMPP ก็คือ ความสามารถในการขยายได้ ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างฟังก์ชันการทำงานแบบกำหนดเองนอกเหนือจากฟีเจอร์หลักได้ ทำให้สามารถทำงานได้หลากหลาย ตั้งแต่บริการแชทขั้นพื้นฐานไปจนถึงระบบการทำงานร่วมกันขององค์กรที่ซับซ้อน นอกจากนี้ XMPP ทำงานบนระบบปฏิบัติการและอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถสื่อสารระหว่างแพลตฟอร์มที่หลากหลายได้
XMPP ทำงานอย่างไร
1. การสร้างการเชื่อมต่อ
- XMPP ทำงานบนโมเดล client-server โดยเริ่มจาก client (เช่น แอพส่งข้อความ) เริ่มต้นการเชื่อมต่อกับ server XMPP โดยใช้ identifier (JID – Jabber ID) และ ระบบการยืนยันตัวตนที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละการใช้งาน
- ไคลเอนต์เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์โดยใช้ TCP/IP (โดยทั่วไปจะอยู่ที่พอร์ต 5222) การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยถูกสร้างขึ้นโดยใช้ TLS (Transport Layer Security) เพื่อเข้ารหัสข้อมูล
2. XML Streaming
- เมื่อเชื่อมต่อแล้ว ไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์จะสื่อสารกันโดยใช้ ‘stanzas’ ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่สามารถแสดงข้อความหรือข้อมูลคำสั่งและการควบคุมอื่นๆ
- การสื่อสารเกิดขึ้นบน XML Streaming ต่อเนื่อง ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์
3. Presence และ Messaging
- เมื่อการเชื่อมต่อสำเร็จ ไคลเอนต์จะ broadcasts presence ของตน (available away และอื่นๆ) ไปยังเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ
- ผู้ใช้ส่งและรับข้อความในรูปแบบ XML จากนั้นเซิร์ฟเวอร์กำหนดเส้นทางข้อความเหล่านี้ไปยังผู้รับที่เหมาะสมตาม JID
4. การเชื่อมโยงทรัพยากรและการสร้างเซสชัน
การเชื่อมต่อไคลเอนต์แต่ละรายการสามารถระบุ ‘ทรัพยากร’ (เช่น อุปกรณ์หรือแอปที่กำหนด) ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อพร้อมกันผ่านไคลเอนต์หลายตัว จากนั้นเซิร์ฟเวอร์จัดการเซสชัน ติดตามการเชื่อมต่อที่ใช้งานอยู่และกำหนดเส้นทางข้อความตามลำดับ
ลักษณะของโปรโตคอล
1. สถาปัตยกรรมแบบกระจายอำนาจ
เซิร์ฟเวอร์ XMPP สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ทำให้ผู้ใช้บนเซิร์ฟเวอร์ที่แตกต่างกันสามารถโต้ตอบได้อย่างราบรื่น ซึ่งต่างจากระบบส่งข้อความแบบทั่วไป XMPP ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลาง ซึ่งส่งเสริมการควบคุมและความเป็นส่วนตัวที่ดีกว่าระบบแบบอื่นๆ
2. คุณสมบัติด้านความปลอดภัย
XMPP รองรับการเข้ารหัสทั้งสำหรับการเชื่อมต่อไคลเอนต์ถึงเซิร์ฟเวอร์ (c2s) และเซิร์ฟเวอร์ถึงเซิร์ฟเวอร์ (s2s) โดยใช้โปรโตคอล เช่น TLS และ SSL (Secure Sockets Layer)
นอกจากนี้ การรับรองความถูกต้องมาตรฐานโดยใช้ SASL (Simple Authentication and Security Layer) ซึ่งเป็นกลไกที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยในการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ทำให้ปลอดภัยอย่างมาก
3. ความสามารถในการขยายและการปรับแต่ง
ฟังก์ชันการทำงานของ XMPP สามารถขยายได้ผ่าน XEP (XMPP Extension Protocols) ซึ่งพัฒนาโดย XMPP Standards Foundation ส่วนขยายเหล่านี้สามารถเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การถ่ายโอนไฟล์ VoIP หรือการแชทเป็นกลุ่ม
และนักพัฒนายังสามารถกำหนดเนมสเปซ XML แบบกำหนดเองเพื่อสร้างประเภทข้อมูลหรือโครงสร้างคำสั่งใหม่ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ปรับแต่งโดยเฉพาะ
4. ความสามารถในการใช้งาน
เซิร์ฟเวอร์ XMPP ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อพร้อมกันและการรับส่งข้อความในปริมาณมาก ทำให้โปรโตคอลเหมาะสำหรับการใช้งานทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
5. การทำงานร่วมกัน
การใช้มาตรฐานแบบเปิดของ XMPP ช่วยให้มั่นใจได้ว่าสามารถทำงานร่วมกับระบบและโปรโตคอลอื่นๆ ได้ ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานให้กว้างขึ้น